ยาไทยและยาจีน Thai and Chinese medicine


โครงงานคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
เรื่อง ยาไทยและยาจีน Thai and Chinese medicine

จัดทำโดย

นายชยากร เสาวคนธ์เมธี เลขที่8 ม.3/7
นายนิติภูมิ ปะดุลัง เลขที่ 14 ม.3/7

ครูที่ปรึกษาโครงงาน
คุณครู ฐรินดา สังยาหยา

โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงานคอมพิวเตอร์ ง23102
ประจำปีการศึกษาที่ 1/2561
โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ จ.สตูล

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสตูล เขต16


กิตติกรรมประกาศ

โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความช่วยเหลือดียิ่งของอาจารย์ฐนินดา  สังยาหยา อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิชาคอมพิวเตอร์ให้คำแนะนำ ข้อคิดเห็นต่างๆมาโดยตลอด และขอบคุณเพื่อนๆและครอบครัวของผู้จัดทำโครงงาน ที่คอยให้กำลังใจ ทำให้คณะผู้จัดทำมีกำลังใจ ที่จะพัฒนาโครงงานจนสำเร็จลุล่วง ผู้จัดทำต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

บทคัดย่อ
ยาไทยและยาจีน นี้เป็นโครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (education media development) ผู้จัดทำจะใช้เว็บไซต์สื่อเพื่อการศึกษาเรื่อง ยาไทยและยาจีน เป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย สามารถใช้เป็นเครื่องมือ สื่อสาร การแสดงความคิด การเผยแพร่




บทที่ 1 บทนำ
              โครงงานเว็บไซต์เรื่องยาไทยและยาจีน จัดทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์ต่างๆ ดังนี้เพื่อ เผยแพร่ส่วนประกอบประเภทยา ที่ใช้ในการป้องกันวินิจฉัย ของแพทย์โบราณจีน เพื่อให้ทราบถึงว่า ยาไทยและยาจีน มีประโยชน์อย่างไร และนำไปเผยแพร่ได้จริงโดย  ใช้อินเตอร์เน็ต ในการเผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป ที่อยากทราบว่ามีประโยชน์และน่าสนใจอย่างไร  สารประกอบประเภทยาที่ใช้ในการป้องกัน วินิจฉัยของเเพทย์เเผนโบราณจีน ที่สำคัญมาจากสมุนไพรธรรมชาติเเละผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมทั้งยาที่มาจากพืชยาที่มาจากสัตว์ ยาที่มาจากเเร่ธาตุ เเละผลิตภัณฑ์ยาที่ได้จากสารเคมี บางส่วนกับยาที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตเป็นต้นความสำคัญ

วัตถุประสงค์

           1. เพื่อให้รู้ถึงประโยชน์ของยาไทยเเละยาจีน

           2. เพื่อประยุกต์ใช้ยาไทยเเละยาจีน

           3.เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักยาไทยเเละยาจีน


สมมติฐานของโครงงาน

             สามารถเรียนรู้ถึงประโยชน์ของยาไทยและจีนและเพื่อที่จะหาวิธีการประยุกต์ใช้ยาจีน

ขอบเขตของโครงงาน

         1.ความหมายของยาไทยและยาจีน
          2.ข้อแตกต่างระหว่างยาไทยและยาจีน
          3.การเลือกบริโภคยา

วิธีการดำเนินงาน

           1.   กำหนดปัญหา เพื่อที่จะศึกษายาไทยและยาจีน
           2.  ขอคำแนะนำจากครูที่ปรึกษาโครงงาน
           3.   ประชุมกลุ่มแบ่งหน้าที่การหาข้อมูล
           4.  ประชุมการวางแผนเบื้องต้น
           5.   ลงมือปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้
           6.  รวบรวมข้อมู
           7. ประเมินผลการศึกษา

 

ประโยชน์ที่ได้รับ

           1. ได้รู้และทราบถึงข้อมูลโภชนาการของยาไทยและยาจีน
           2. ได้รู้วิธีการป้องกันการใช้ยาแต่ละชนิด
           3.ได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารของยานั้นๆ


บทที่ 2
เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
            การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเรื่องยาไทยและยาจีน คณะผู้จัดทำได้ศึกษา ค้นคว้า เสนอเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

ประโยชน์ของยาจีน


       ประโยชน์ของยาจีนซึ่งมีผลต่อการรักษาโรค  แก่ประชาชนและมีการพัฒนาเติบโตของร่างกาย ซึ่งยาเป็นยาที่รักษาโรคต่างๆ เพื่อให้ประชาชนของจีนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งยาจีนส่วนใหญ่ได้จากธรรมชาติและเป็นผลดีต่อประชาชน จนถึงปัจจุบัน ยาจีนก็มีถานในความสำคัญของการรักษาโรค และได้ประโยชน์ สมุนไพรจีนได้รักษากันครบถ้วน และบำรุงร่างกายได้อย่างสูงสุด ได้รับการยืนยันว่าเห็ดหลินจือโดยเท่าเทียมกัน   ในสรรพคุณของสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ป่วยโรคมะเร็ง บางรายจะให้เห็ดหลินจือในการรักษา กระตุ้น เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยการขยัยเขยื้อนการเจริญเติบโต หรือเพราะการระบาดกระจายของกล้ามเนื้อ

หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน


         การรักษาแบบฉบับของแพทย์แผนจีนจะยึดหลักทฤษฎีแบบองค์รวม โดยถือว่าร่างกายของมนุษย์เป็นองค์รวมที่มีระบบต่างๆ ภาพในร่างกายทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ซึ่งจากทฤษฎีดังกล่าวก็สามารถนำไปสู่การตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนดังนี้
  -ตรวจวินิจฉัยโรคแบบองค์รวม ด้วยการดู ถาม ฟังและการจับ เพื่อให้ทราบถึงอาการและสาเหตุของโรคอย่างชัดเจน 
-สรุปการวินิจฉัยและกำหนดวิธีการรักษา ซึ่งหากสามารถรักษาได้หลายวิธี แพทย์ก็จะสอบถามความสมัครใจของผู้ป่วย
-ดำเนินการรักษา โดยวิธีที่นิยมใช้ตามแบบแพทย์แผนจีนคือ การฝังเข็ม การครอบแก้ว การกวาซา การนวดทุยหน่า การเปิดตำรับยาจีนและการใช้โกศจุฬาลัมพา ซึ่งจะศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดของการรักษาแต่ละวิธีต่อไป

1.การฝังเข็ม  


      
เป็นการรักษาโดยใช้เข็มปักลงไปตามจุดฝังเข็มของร่างกาย ซึ่งแพทย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญพอสมควรเพราะจุดต่างๆ บนร่างกายของคนเราล้วนมีความสำคัญ หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจเกิดปัญหาตามมาอย่างคาดไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยการฝังเข็มก็ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่าสามารถรักษาโรคได้มากถึง 57 โรค เลยทีเดียว โดยแพทย์แผนปัจจุบันได้สรุปข้อดีของการฝังเข็มดังนี้

2.การครอบแก้ว


     การครอบแก้ว วิธีนี้นิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดและกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งจะใช้ระบบ
ความร้อนหรือการดูดอากาศออก โดยนำแก้วมาครอบกดลงไปบนผิวจนผิวหนังถูกดูดเข้าไปในแก้ว ซึ่งหลังจากการครอบ ผิวอาจดูคล้ำเล็กน้อยแต่ไม่ต้องกังวลเพราะประมาณ 5-7 วัน รอยคล้ำดังกล่าวจะค่อยๆ จางหายไปเอง นอกจากนี้การครอบแก้วตามแบบแพทย์แผนจีนก็สามารถใช้เพื่อเสริมความงามได้อีกด้วย โดยจะทำให้ผิวพรรณมีความเปล่งปลั่ง สดใสและดูมีเลือดฝาดนั่นเอง


3.การกวาซา


         การกวาซาเป็นการรักษาแบบบำบัดด้วยการขูดผิวหนัง โดยจะใช้เขาสัตว์หรือหยกในการขูดเพื่อขับพิษออกไปจากร่างกาย ซึ่งวิธีนี้มีข้อดี คือ ขยายรูขุมขนให้เปิดกว้างทำให้สารพิษถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อได้ง่ายขึ้น สามารถกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าพร้อมสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ดี

4.การเปิดตำรับยาจีน

เป็นการรักษาโรคโดยการใช้ยาจากตำรับยาจีน โดยแพทย์จะสอบถามอาการของผู้ป่วย จากนั้นจึงเลือกตัวยาที่มีคุณสมบัติในการรักษาอาการดังกล่าว หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือเป็นการรักษาตามสาเหตุและอาการของโรคนั่นเอง ซึ่งอาจมีการใช้ยาหลายๆ ตัวที่มีสรรพคุณคล้ายกัน เพื่อเสริมฤทธิ์ยาให้มีประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น โดยส่วนใหญ่ยาที่นำมาเข้าตำรับแล้วจะออกมาในรูปของ ยาต้ม ยาแคปซูล ยาผงและยาเม็ดลูกกลอนนั่นเอง


5.การนวดทุยหน่า



    เป็นการนวดตามศาสตร์ของแพทย์แผนจีน ซึ่งจะใช้วิธีการนวดที่มีทักษะและเทคนิคพอสมควร โดยการนวดทุยหน่าจะนิยมใช้เพื่อการบำรุงสุขภาพ การบำรุงกระเพาะอาหารและการนวดเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับร่างกาย แถมยังช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นพร้อมเสริมให้เอ็นและไขข้อมีความแข็งแรงอีกด้วย

6.โกฐจุฬาลัมพา



     เป็นการรักษาโดยการรมด้วยโกฐจุฬาลัมพา ซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆ และสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชาวจีนก็มีความเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้มีอายุวัฒนะได้อีกด้วย สำหรับวิธีการรมจะใช้ความร้อนรมบริเวณจุดฟังเข็มและจุดต่างๆ ของร่างกายที่ต้องการ ออกฤทธิ์โดยน้ำมันหอมระเหยจากแท่งโกศจุฬาลัมพานั่นเอง

                                                                             บทที่ 3

วิธีการดำเนินโครงงาน 

โปรเเกรมที่ใช้ Microsoft Word 2010

วิธีการดำเนินงาน
1.กำหนดชื่อโครงงาน
2.กำหนดวัตถุประสงค์
3.กำหนดขั้นตอน
4.สืบค้นข้อมูล
5.จัดทำโครงงาน
6..ลงมือทำโครงงาน
7.การเขียนรายงาน
8.การนำเสนอเเละเเสดงผล




บทที่ 4
ผลการศึกษา

คณะผู้จัดทำสามารถดำเนินการได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเนื่องจากการวางเเผนเป็นขั้นตอนเเละมีการนำเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์มาใช้ในการทำโคงาน
1.รวบรวมข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเเละหนังสือ
2.ศึกษาวิธีการเผยเเพร่
บทที่ 5
สรุปผลเเละข้อเสนอเเนะ

การจัดทำโครงงานยาไทยเเละยาจีน สามารถสรุปผลการดำเนินโครงงานได้ดังนี้

โปรเเกรมที่ใช้ในการพัฒนา

โปรเเกรมMicrosaft Word 2010
เว็บไซต์ที่ให้บริการคือ https://www.blogger.com

สรุปผลการดำเนินงาน

จากการดำเนินโครงงานการพัฒนาเเละการพัฒนาสื่อสารเพื่อการศึกษาผ่านเครือข่ายอื่นเตอร์เน็ตเเละหนังสือเรื่องยาไทยเเละยาจีน เป็นสื่อทางการศึกษาซึ่งทำให้เกิดประโยชน์กับบุคคลที่สนใจ

ข้อเสนอแนะ

ควรจัดทำโครงงานให้หลากหลาย






ความคิดเห็น